Last updated: 6 ต.ค. 2568 | 47 จำนวนผู้เข้าชม |
งูกัด Snake bites
งูกัดเป็นภาวะฉุกเฉินที่อาจร้ายแรงต่อชีวิต ขึ้นกับชนิดของงู พิษ และปริมาณที่เข้าสู่ร่างกาย
สาเหตุ
-เกิดจากการถูกงูพิษกัด เช่น งูเห่า งูจงอาง งูกะปะ งูเขียวหางไหม้ เป็นต้น
-พิษงูมีหลายชนิด เช่น
-พิษต่อระบบประสาท → ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง หายใจลำบาก
-พิษต่อระบบเลือด → ทำให้เลือดออกง่าย เลือดไม่แข็งตัว
-พิษต่อกล้ามเนื้อ → ทำให้กล้ามเนื้อสลาย ไตวาย
อาการ
1.อาการเฉพาะที่: ปวด บวม รอยเขี้ยวงู เลือดออก
2.อาการทั่วไป: คลื่นไส้ เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย
3.อาการรุนแรง:
-หนังตาตก กลืนลำบาก หายใจไม่ออก (งูพิษประสาท)
-เลือดออกง่าย จุดเลือดออกตามตัว ปัสสาวะมีเลือด (งูพิษเลือด)
-ปัสสาวะเป็นสีเข้ม ไตวาย (งูพิษกล้ามเนื้อ)
การวินิจฉัย
-ประวัติการถูกงูกัด + ลักษณะงู (หากจำได้)
-ตรวจรอยเขี้ยว อาการบวม เลือดออก
-ตรวจเลือด: การแข็งตัวของเลือด, การทำงานของไต, เอนไซม์กล้ามเนื้อ
-บางกรณีใช้การทดสอบการแข็งตัวของเลือดแบบง่าย (20-minute whole blood clotting test)
การรักษา
1.การปฐมพยาบาลทันที
-รีบถอยออกจากงู → ห้ามวิ่ง
-นอนนิ่ง ลดการเคลื่อนไหวของแขนขา
-ใช้ผ้าพัน/เฝือกดามเพื่อจำกัดการเคลื่อนไหว (Immobilization)
-ห้ามกรีดแผล ห้ามดูดพิษ ห้ามขันชะเนาะ
2.ในโรงพยาบาล
-ประเมินอาการและให้ เซรุ่มต้านพิษงู (antivenom) ตามชนิดงูและอาการ
-รักษาตามอาการ: ใส่ท่อช่วยหายใจ ให้น้ำเกลือ ให้เลือด/เกล็ดเลือดถ้าจำเป็น
-เฝ้าระวังการแพ้เซรุ่ม
ควรหรือไม่ควร
-ควร: รีบนำส่งโรงพยาบาลทันที, พยายามอยู่นิ่ง ๆ, จำลักษณะงูได้จะช่วยให้แพทย์เลือกเซรุ่มถูกต้อง
*ไม่ควร: กรีดแผล, ดูดพิษออก, ใช้สมุนไพรหรือการรักษาพื้นบ้าน, ขันชะเนาะแน่นเกินไป
6 ต.ค. 2568
2 ต.ค. 2568
30 ก.ย. 2568
6 ต.ค. 2568