Last updated: 20 มิ.ย. 2568 | 21 จำนวนผู้เข้าชม |
โรคกลากเกลื้อน
โรคเชื้อรากลุ่ม Tinea: ความรู้ลึกเกี่ยวกับการติดเชื้อที่ผิวหนัง
โรคเชื้อรากลุ่ม Tinea หรือที่รู้จักกันในชื่อ “โรคผิวหนังเชื้อรา” เกิดจากเชื้อราที่เรียกว่า dermatophytes ซึ่งเป็นเชื้อราที่เจริญเติบโตบนผิวหนังของมนุษย์และสัตว์ มีความสามารถในการย่อยสลายเคอราตินซึ่งเป็นโปรตีนหลักในผิวหนัง เส้นผม และเล็บ โดยการติดเชื้อเช่นนี้มักเกิดในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูงหรืออุณหภูมิอบอุ่น ซึ่งทำให้โรคนี้แพร่กระจายได้ง่ายในสังคมที่มีการสัมผัสกันระหว่างผิวหนังและใช้ของร่วมกัน เช่น รองเท้า ผ้าขนหนู หรือหมอน
1.พื้นฐานทางการแพทย์ของการติดเชื้อ Tinea
เชื้อราในกลุ่ม dermatophytes ที่ทำให้เกิดโรค Tinea แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลักที่มีชื่อเรียกต่างกัน ได้แก่:
-Trichophyton -Epidermophyton -Microsporum เชื้อรากลุ่มเหล่านี้มักจะเจริญเติบโตได้ดีในที่ที่มีความชื้นและอุณหภูมิสูง เช่น ซอกนิ้วเท้า ขาหนีบ หรือที่มีการเสียดสีมาก เช่น ภายในรองเท้า หรือใต้วงแขน โดยการติดเชื้อจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองและคันตามมา การติดเชื้อจะเกิดเมื่อเชื้อราเข้าสู่ชั้นผิวหนังที่มีเคอราติน เชื้อราจะย่อยสลายเคอราตินและเจริญเติบโต ทำให้เกิดการอักเสบ การระคายเคือง และทำให้เกิดอาการคัน บางครั้งผิวหนังอาจแตกหรือเป็นสะเก็ด ซึ่งมักเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของการติดเชื้อ
2. การจำแนกประเภทของ Tinea Infection
เชื้อราในกลุ่ม Tinea สามารถแบ่งตามตำแหน่งที่ติดเชื้อ ดังนี้:
•Tinea corporis (เชื้อราที่ผิวหนังทั่วไป): มักจะพบเป็นผื่นที่ผิวหนังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น แขน ขา ลำตัว โดยลักษณะของผื่นจะมีขอบชัดเจนและเป็นวงกลม มีอาการคันหรือระคายเคือง
•Tinea pedis (Athlete’s foot): เป็นโรคที่พบได้บ่อยในบริเวณเท้า โดยมักเกิดระหว่างนิ้วเท้า ซึ่งมักจะทำให้เกิดอาการคัน ผิวแตก หรือมีสะเก็ด มักเกิดในผู้ที่มีเท้าชื้นหรือใส่รองเท้าสีปิดมานาน
•Tinea cruris (เชื้อราที่ขาหนีบ): พบในบริเวณขาหนีบ สะโพก หรือหน้าขา ซึ่งเป็นบริเวณที่มีความชื้นและอบอุ่นมาก อาการที่พบคือ ผื่นแดง คัน และมีขอบชัดเจน
•Tinea capitis (เชื้อราที่หนังศีรษะ): เป็นการติดเชื้อที่หนังศีรษะ ซึ่งอาจทำให้เกิดผมร่วงและมีสะเก็ดที่ศีรษะ บางครั้งอาจมีการอักเสบหรือหนอง
•Tinea unguium (เชื้อราที่เล็บ): มักพบในผู้ที่มีเล็บหนาและแตก สีของเล็บอาจเปลี่ยนแปลงและเล็บอาจมีรอยแตกหรือยุบ
3. อาการและสัญญาณที่พบได้จากการติดเชื้อ Tinea
อาการของโรค Tinea มักจะแตกต่างกันไปตามประเภทของการติดเชื้อ แต่โดยทั่วไปแล้วจะมีลักษณะดังนี้:
•ผื่นวงกลม: บริเวณที่ติดเชื้อมักมีผื่นเป็นวงกลมหรือวงรี มีขอบชัดเจนและกลางของผื่นจะมีสีอ่อนกว่าขอบ
•คันหรือระคายเคือง: อาการคันมักเป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด
•ลอกหรือสะเก็ด: ผิวที่ติดเชื้อมักจะมีการลอก หรือเกิดสะเก็ด
•ผมร่วง: หากติดเชื้อที่หนังศีรษะ มักทำให้เกิดผมร่วงในบริเวณที่ติดเชื้อ
4. วิธีการวินิจฉัย Tinea Infection
การวินิจฉัย Tinea มักทำได้โดยการตรวจสอบจากลักษณะทางคลินิกที่ชัดเจน เช่น การมีผื่นที่มีขอบชัดเจน และการสัมผัสกับบริเวณที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ แต่บางครั้งอาจต้องใช้การตรวจในห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม เช่น:
•การขูดผิวหนัง: เพื่อเก็บตัวอย่างผิวหนังที่มีการติดเชื้อไปตรวจสอบภายใต้กล้องจุลทรรศน์
•การเพาะเชื้อ: เพื่อยืนยันชนิดของเชื้อราโดยการเพาะในอาหารเลี้ยงเชื้อ
•การตรวจสีฟลูออเรสเซนต์: การใช้สารเคมีบางชนิดที่สามารถทำให้เชื้อราปล่อยแสงฟลูออเรสเซนต์ ซึ่งจะช่วยในการวินิจฉัย
5. การรักษาและการป้องกัน Tinea Infection
การรักษาโรค Tinea มีทั้งวิธีการทาทาและการใช้ยารับประทาน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค:
•ยาทา: ใช้ยาต้านเชื้อราที่มีจำหน่ายในรูปแบบครีม โลชั่น หรือผง เช่น ไมโคนาโซล (Miconazole) เทอร์บินาฟีน (Terbinafine) หรือคีโทโคนาโซล (Ketoconazole)
•ยารับประทาน: สำหรับกรณีที่เชื้อราแพร่กระจายไปยังบริเวณต่าง ๆ หรือเชื้อรามีการทนทานต่อยาทาทา อาจจำเป็นต้องใช้ยารับประทาน เช่น ฟลูโคนาโซล (Fluconazole) หรือ เทอร์บินาฟีน (Terbinafine)
วิธีการป้องกันการติดเชื้อ Tinea
1.รักษาความสะอาด: การอาบน้ำและทำความสะอาดผิวหนังอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะบริเวณที่มีความชื้น
2.การใส่เสื้อผ้าและรองเท้าที่ระบายอากาศได้ดี: เพื่อป้องกันความชื้นสะสม
3.หลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกับผู้อื่น: เช่น รองเท้า ผ้าขนหนู หมอน และเครื่องใช้ส่วนตัว
4.การใช้ยาป้องกัน: เช่น การใช้ผงหรือสเปรย์ต้านเชื้อราในกรณีที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
20 มิ.ย. 2568
20 มิ.ย. 2568
20 มิ.ย. 2568
20 มิ.ย. 2568