Last updated: 15 ก.ค. 2567 | 81893 จำนวนผู้เข้าชม |
การช่วยชีวิตผู้ใหญ่ขั้นพื้นฐาน (Adult Basic Life Support)
ขั้นตอนที่ 1 ดูความพร้อมและความปลอดภัยก่อน เข้าช่วยเหลือ
ผู้ช่วยเหลือประเมินที่เกิดเหตุว่าปลอดภัยหรือไม่ โดยการประเมินบริเวณรอบ ๆ ถึงอันตราย เช่น สารพิษ กระแสไฟฟ้า ระเบิด และอื่น ๆ ถ้าไม่ปลอดภัยควรเคลื่อนย้ายผู้ป่วย หรือ ตามทีมช่วยเหลือมาช่วย
ประเมินตัวท่านเองว่าพร้อมช่วยผู้อื่นหรือไม่ เช่น พบผู้ประสบภัยที่จมน้ำแต่ท่านว่ายน้ำไม่เป็น เป็นต้น
ขั้นตอนที่ 2 ประเมินการตอบสนองของผู้ป่วย
ประเมินโดยการตบบ่าพร้อมกับตะโกนว่า “คุณ...คุณ...เป็นยังไงบ้าง” แล้วดูที่หน้า ถ้าไม่ตอบคำถาม ไม่ขยับตัว ไม่ส่งเสียงคราง ไม่ขยับใบหน้า และมุมปาก แสดงว่าผู้ป่วยไม่ตอบสนอง
หากผู้ป่วยตอบสนองให้ประเมินต่อไปว่าต้องตามหน่วยฉุกเฉินหรือไม่ และประเมินซ้ำเป็นระยะๆ
หมายเหตุ ในกรณีที่สงสัยว่ามีการบาดเจ็บศรีษะและคอ อย่าพยายามขยับตัวผู้หมดสติ เพราะการขยับจะทำให้ผู้ป่วยที่สันหลังบาดเจ็บ จะกระตุ้นให้เป็นอัมพาตได้
ขั้นตอนที่ 3 ขอความช่วยเหลือ
ตะโกนขอความช่วยเหลือจากผู้ที่อยู่บริเวณใกล้เคียง หรือใช้โทรศัพท์มือถือโทรขอความช่วยเหลือจากระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน (รถพยาบาล) โดยกด หมายเลข 1669 แล้วเปิดลำโพงโทรศัพท์แล้วจึงวางข้างตัวผู้ป่วย โดยต่อสายไว้ตลอดเวลา จนกว่าเจ้าหน้าที่จะให้วางสาย โดยเจ้าหน้าที่จะข้อมูลที่จำเป็นต่อการช่วยเหลือทั้งหมด
หมายเหตุ ฟังคำแนะนำจากหน่วยฉุกเฉิน 1669 ตลอดเวลา ห้ามวางสายก่อนเด็ดขาด
ขั้นตอนที่ 4 จัดท่าให้ผู้ป่วยหมดสตินอนหงาย
ถ้าผู้ป่วยหมดสติอยู่ในท่านอนคว่ำให้พลิกผู้ป่วยมาอยู่ในท่านอนหงายบนพื้นราบ เรียบ และ แข็ง แขนทั้งสองข้างนอนเหยียดอยู่ข้างลำตัว
ขั้นตอนที่ 5 ประเมินการหายใจภายใน 10 วินาที
ประเมินการหายใจผู้ป่วยโดยมองที่หน้าอกของผู้หมดสติ หากผู้หมดสติใส่เสื้อผ้าอยู่ให้ถอดจนกว่าจะเห็นหน้าอกชัดเจน โดยมองเป็นเวลาอย่างน้อย 10 วินาที
หมายเหตุ หากปากขยับแต่หน้าอกไม่ขยับ ใน 10 วินาที ให้เริ่มกดหน้าอกและช่วยหายใจทันที
ขั้นตอนที่ 6 กดหน้าอก
ขั้นตอนที่ 7 เปิดทางเดินหายใจ
ในผู้ที่หมดสติ หัวใจหยุดเต้น สมองจะขาดเลือด ทำให้สูญเสียการควบคุมกล้ามเนื้อลิ้น ทำให้ลิ้นตกไปออุดกลั้นทางเดินหายใจ ต้องช่วยโดยการยกขากรรไกรล่างขึ้น เพื่อให้ลิ้นที่ติดกับขากรรไกรล่างถูกยกขึ้น ทำให้ทางเดินหายใจโล่ง ด้วยวิธีดันหน้าผาก และ เชยคาง Head Tilt-Chin Lift
หมายเหตุ
ขั้นตอนที่ 8 การเป่าลมเข้าปอด
1. เปิดทางเดินหายใจ แล้วบีบจมูกทั้งสองข้างโดยการจับที่ปีกจมูก
2. ให้ลมหายใจโดยการเป่าจากปากสู่ปาก เป่าแรง ๆ ช้า ๆ
3. ให้ลมหายใจทั้งหมด 2 ครั้ง(อย่างน้อยครั้งละ 1 วินาที)
4. สังเกต การขยับของหน้าอก
ขั้นตอนที่ 9 ปั้มหัวใจ 30 ครั้ง สลับ ช่วยหายใจ 2 ครั้ง จนกว่า
1. ผู้ป่วยจะเคลื่อนไหว หายใจ ไอ หรือ
2. เครื่องฟื้นคืนคลื่นหัวใจด้วยไฟฟ้าอัตโนมัติจะมาถึง
3. หน่วยกู้ภัย รถพยาบาล ทีม1669 จะมาถึง
หมายเหตุ ในกรณีที่มีผู้ช่วยชีวิต มาช่วยเพิ่มขึ้น ควรสลับหน้าที่ของผู้ที่กดหน้าอกกับผู้ที่ทำการช่วยหายใจทุก 2 นาที (5 รอบ)
เครื่องฟื้นคืนคลื่นหัวใจด้วยไฟฟ้าแบบอัตโนมัติ(AED) หรือ เออีดี
การใช้เครื่อง เออีดี เป็นอีกขั้นตอนที่มีความสำคัญมากในห่วงโซ่แห่งการรอดชีวิต เครื่องเออีดี หรือเครื่องช็อคไฟฟ้าอัตโนมัติ เป็นอุปกรณ์ที่สามารถ “อ่าน วิเคราะห์ และช่วยรักษาด้วยไฟฟ้า” ได้อย่างแม่นยำ มีประสิทธิภาพ โดยจะทำให้คลื่นไฟฟ้าหัวใจกลับมาเป็นภาวะปกติได้ และ หัวใจจะสามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้ตามปกติ
1. เปิดเครื่อง ถอดเสื้อของผู้ประสบภัยออก (หากถอดไม่ได้ให้ใช้กรรไกรตัดเสื้อผู้ป่วยออกได้)
2. แปะแผ่น บนหน้าอกผู้ประสบภัยตามคำแนะนำ โดยแปะให้แนบสนิทกับหน้าอกผู้ป่วย แผ่นแรกติดที่ใต้กระดูกไหปลาร้าด้านบน และอีกแผ่นติดที่ใต้ราวนมซ้ายข้างลำตัว
3. ให้เครื่องเออีดี วิเคราะห์คลื่นไฟฟ้าหัวใจ ระหว่างนั้นห้ามสัมผัสถูกตัวผู้ป่วยโดยเด็ดขาด
ตำแหน่งวางแผ่นช็อคไฟฟ้าหัวใจ
นอกจากตำแหน่งที่แนะนำยังมีอีก 3 ตำแหน่งที่แนะนำคือ
1. กลางหน้าอกด้านหน้า และ กลางหน้าอกด้านหลัง
2. ใต้ราวนมซ้ายด้านหน้า และ ใตัสะบักด้านซ้าย
3. ใต้ไหหลาร้าด้านขวา และ ใต้สะบักด้านซ้าย
โดยมีประสิทธิภาพในการรักษาหัวใจเต้นผิดจังหวะเท่ากัน
การช็อคไฟฟ้าในผู้ป่วยที่ฝังเครื่องช็อคไฟฟ้าภายใน
ส่วนมาก จะฝังเครื่อง ช็อคไฟฟ้าภายในไว้ ที่หน้าอกบนซ้าย หากแปะแผ่นช็อคไฟฟ้าบริเวณที่ใกล้กับ เครื่องจะทำให้เครื่องเออีดี ไม่ทำงานเพราะจะไปอ่านจังหวะหัวใจจากเครื่องช็อคไฟฟ้าภายใน ดังนั้นจึงควรแปะ ให้ห่างจากตัวเครื่อง Internal Pacemakers ประมาณ 8-10 ซม.
รอดแล้ว
จะหยุดปั๊มหัวใจ ก็ต่อเมื่อ
ทีมฉุกเฉิน รถพยาบาลหรือทีมกู้ชีพจะมาถึง
ผู้ป่วยหายใจได้เอง หน้าอกขยับ
ผู้ป่วยขยับได้เอง รู้สึกตัว
Tip
ให้เปิดเครื่อง AED ไว้ แล้ว ตรวจดูการหายใจซ้ำทุกๆ 2 นาที ตามเครื่องบอก จนกว่าทีมช่วยเหลือมา
หากผู้ป่วยตื่นรู้สึกตัวให้ปิดเครื่อง AED และจะเปิดอีกครั้งเมื่อผู้ป่วยหมดสติไปอีกครั้ง
หากผู้ป่วยหายใจแต่ยังไม่รู้สึกตัว ให้จัดท่านอนตะแคงกึ่งคว่ำตาม
การใช้เครื่อง เออีดี ในสถานะการณ์พิเศษ
1. กรณีผู้ป่วยมีขนหน้าอกมาก : ขนหน้าอกจะเป็นตัวขัดขวางไม่ให้ แผ่นนำไฟฟ้าแนบสนิทกับหน้าอก จึงควรโกนขนหน้าอกออกก่อนจะติดแผ่นนำไฟฟ้าทุกครั้ง
2. กรณีผู้ป่วยเปียกน้ำ : ควรนำผู้ป่วยออกจากบริเวณที่เปียกน้ำ แล้วจึงใช้ผ้าขนหนูเช็ดบริเวณหน้าอกผู้ป่วยให้แห้งก่อนแปะแผ่นนำไฟฟ้า
3. กรณี ผู้ป่วยติดแผ่นให้ยาทางผิวหนังที่หน้าอก: ให้ดึงแผ่นยาออก เช็ดบริเวณนั้นให้แห่งแล้วจึงค่อยติดแผ่นนำไฟฟ้า ของเครื่อง เออีดี
4. กรณีที่ ผู้ป่วยใส่เสื้อหรือชุดที่ไม่สามารถถอดได้ ให้ใช้กรรไกรในชุด AED kit set ตัดออกเพื่อแปะแผ่นนำไฟฟ้าบริเวณหน้าอกเปลือยผู้ป่วยได้
5. หากมีเลือดหรือสารคัดหลั่งเปื้อน เต็มหน้าอกผู้ป่วย ให้ผู้ช่วยเหลือใส่ถุงมือแล้ว จึงนำผ้าไปเช็ดบริเวณ เลือด/สารคัดหลั่งก่อน แปะแผ่นนำไฟฟ้า
6. เมื่อใช้ แผ่นแปะนำไฟฟ้า ถุงมือ กรรไกร มีดโกน ผ้า แผ่นเป่าปาก แล้ว ให้ใส่ลงในถุงแดงเพื่อนำไปทำลายให้ถูกสุขลักษณะ ต่อไป
การปั้มหัวใจเด็ก
ผู้ช่วยเหลือดำเนินการตามขั้นตอนเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ ปรับวิธีการกดหน้าอกโดยให้ผู้ช่วยเหลือวางมือลงตรงกึ่งกลางหน้าอก (กึ่งกลางระหว่างหัวนม) กดลึกลง ไปประมาณ 1/3 ของความหนาของหน้าอก(ประมาณ 5 ซม.หรือ 2 นิ้ว) ในการกดหน้าอกจะใช้มือเพียงมือเดียวหรือสองมือก็ได้ สำหรับเด็กวัยรุ่นให้ใช้ความลึกในการกดเท่ากับผู้ใหญ่ (5-7 ซม.)
การปั้มหัวใจทารก
ให้กดหน้าอกลึกลงไปประมาณ 1/3 ของความหนาของหน้าอก(4 ซม.หรือ1.5 นิ้ว โดยการใช้ 2 นิ้วมือหรือ 2 นิ้วโป้ง อัตราเร็วของการกดหน้าอก 100-120 ครั้งต่อนาที สลับกับการเป่าปาก 2 ครั้ง หรือ 30 : 2 ในกรณีที่มีผู้ช่วยเหลือ 2 คน ให้ปรับเปลี่ยนอัตราการกดหน้าอกจาก 30 ครั้ง เป่าปาก 2 ครั้ง มาเป็น กดหน้าอก 15 ครั้ง เป่าปาก 2 ครั้ง
การช่วยสำลักทารก
การช่วยสำลักผู้ใหญ่
1 มี.ค. 2566
27 ก.พ. 2567
21 พ.ค. 2567